หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

เงากามเทพ ตอนที่ 10

ตอนที่ 10

พวกตำรวจกลับไปกันหมดแล้ว เทียนรีบเดินมาหาโรมกับลักษมน เธอมองหน้าโรมพลางถามเขาว่า ทำไมนายหัวไม่บอกตำรวจไปว่าถูกกุลชาติยิง โรม ส่ายหน้าตอบว่า

"บอกไปก็เท่านั้น พยานก็มีแต่พวกเรา ไอ้กมลทัตกับนายภาสกรมันต้องช่วยกุลชาติให้รอดจากคุกรอดจากตะรางได้อยู่แล้ว ดูอย่างนภาสิ เราระวังขนาดไหนมันยังเอาไปฆ่าได้เลย คนอย่างนภาน่ะไม่มีทางฆ่าตัวตายเองหรอก"

ฟังโรมพูดจบ เทียนก็ผลุนผลันลุกขึ้น พูดออกมาว่า "เทียนจะไปบอกความจริงให้ตำรวจรู้ บอกให้หมดทุกอย่างเลย"

ลักษมนรีบตามไปดึงตัวเอาไว้ "ใจเย็นๆเทียน เรายังไม่รู้ความจริงเลยนะว่าใครผิดใครถูกกันแน่"

"ก็กมลทัตน่ะสิผิดอยู่แล้ว คุณลักษมนพูดอย่างนี้ได้ยังไง หรือคิดว่า..." เทียนพูดค้าง ไม่กล้าเอ่ยต่อ แต่โรมมองหน้าน้องชาย ถามออกมาว่า

"นี่แกสงสัยฉันว่าทำอย่างที่นภาพูดเหรอ?"

"ใครจะไปรู้ล่ะพี่ พวกเราเองก็โดนพี่หลอกให้เล่นละครโดยไม่รู้ตัวกันมาแล้ว ผมเลยงงๆว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนโกหกกันแน่" ลักษมนพูดแล้วก็เดินออกจากห้องไป เทียนคิดหนัก โรมเดินเข้าไปใกล้ๆเธอแล้วถามว่า

"แล้วเทียนล่ะ สงสัยฉันด้วยหรือเปล่า?"

เทียนรีบส่ายหน้า "ไม่สงสัยค่ะ เทียนเชื่อนายหัว นายหัวต้องไม่ทำเรื่องร้ายกาจแบบนี้เด็ดขาด" ปากตอบโรมอย่างนั้น แต่ในดวงตาของเทียนมีแววลังเล
เช้าวันรุ่งขึ้น   ที่บ้านของเฮียปอ   กุลชาตินอนอยู่กับสมุนปออยู่ในห้อง   ข้างๆตัวมีแต่อุปกรณ์การเสพยาอยู่เกลื่อนกลาด  ปอเปิดประตูเดินเข้ามา  ในมือของเขามีหนังสือพิมพ์สองสามฉบับ  ยกเท้าเขี่ยลูกน้อง   ซึ่งพอถูกปลุกด้วยเท้าก็พากันลุกพรึ่บพรั่บ นอกจากกุลชาติที่ยังนอนหลับตาพริ้มฝันถึงสวรรค์อยู่ เพราะฤทธิ์ยา

ปอหันไปเจอแก้วน้ำที่พวกเสพยากินกันไว้ เห็นเหลืออยู่ครึ่งแก้วจึงคว้าขึ้นมาแล้วสาดไปบนหน้าของกุลชาติเต็มแรง กุลชาติเด้งตัวพรวดพราดลุกขึ้น ตายังปรือด้วยฤทธิ์ยา แต่ยังทำเสียงดังใส่เฮียปอได้

"เล่นอะไรเฮีย สงกรานต์เหรอ เปียกหมดเลย"

"ไม่ได้เล่นโว้ย ของจริงเลย นี่ดูๆเลขาฯคนสวยของพ่อแกตายแล้ว" โยนหนังสือพิมพ์ใส่หน้ากุลชาติซึ่งรีบตะปบไปดู ที่ข่าวหน้าหนึ่ง มีภาพของเจ้าหน้าที่มูลนิธิหามร่างห่อผ้าขาว ของนภา ใต้ภาพมีคำบรรยายว่า เลขาฯคลิปฉาวลาตาย แฉซ้ำใครบงการ กุลชาติขยี้ตาสะบัดหัวถ่างตาดูซ้ำอีกครั้ง แล้วเงยหน้าพึมพำว่า

"นภาตายแล้ว ดี...ดีเหมือนกัน มารความรักของเราไปสู่สุคติแล้ว สมน้ำหน้า จุ้นจ้านดีนัก"

เฮียปอไม่ฟังว่ากุลชาติพูดอะไร แต่บอกกับเขาว่า "เอ็งก็กลับบ้านได้ซะที แล้วอย่าลืมโอนเงินมาให้ล่ะ"

"เรื่องนั้นไม่ลืมหรอกเฮีย แต่เรื่องไอ้โรมน่ะสิ ไม่รู้มันจะว่ายังไง"

"เอ็งก็แหกตาอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ดูสิว่า ตอนนี้มันเป็นจอมบงการเป็นผู้ร้ายไปแล้ว มันไม่กล้ามาตอแยกับเอ็งหรอกไอ้ชาติ..."

กุลชาติรีบพลิกอ่านข่าว เสร็จแล้วก็ยิ้มกับปออย่างดีใจ ลุกขึ้นแต่งตัวรีบกลับไปบ้านทันที

ที่บ้านกมลทัต เขากำลังนั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ คนเดียว พิศเพลินเดินเข้ามาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ กมลทัตกำลังอารมณ์ดี กวักมือเรียกเธอให้มากินข้าวด้วยกัน พิศเพลินเดินเข้ามาหาแต่ไม่ได้นั่งลงกินข้าวด้วย กลับเอาหนังสือพิมพ์ในมือขว้างใส่จานข้าวกมลทัต ต่อว่าเขาว่า

"ทำไมคุณอำมหิตโหดเหี้ยมขนาดนี้ จิตใจคุณทำด้วยอะไรคุณกมลทัต?"

กมลทัตยังอารมณ์ดีจึงไม่ว่าอะไร เพียงแต่เก็บหนังสือพิมพ์ ในจานข้าวโยนลงข้างโต๊ะ บอกพิศเพลินว่า "นี่คุณคิดว่าผมเลวร้ายมากนักหรือยังไง ก็นังนภามันสารภาพหมดแล้วว่าเป็นฝีมือของไอ้โรม มันบงการทุกอย่างจนนภาทนความรู้สึกผิดไม่ไหวต้องฆ่าตัวตาย"

"ฉันไม่เชื่อว่าโรมเป็นคนทำ เขาไม่ใช่คนอย่างนั้น" พิศเพลินเสียงสั่นด้วยความโกรธ

กมลทัตหมดความอดทนเมื่อโรมได้รับคำชมว่าเป็นคนดีเข้าหู ยกมือชี้หน้าพิศเพลินทันที "เธอนี่มันหน้ามืดตามัวจริงๆ หลงคิดว่าไอ้โรมมันเป็นเทวดา คอยดู ฉันจะทำให้เธอเห็นให้ได้ว่าที่จริงแล้วมันเป็นซาตานหน้าเนื้อใจเสือ..."

พิศเพลินไม่รอฟังให้กมลทัตพูดจบ เธอเปิดกระเป๋าถือหยิบเช็คของโรมออกมาวางตรงหน้ากมลทัตพลางบอกว่า "นี่ไงซาตานหน้าเนื้อใจเสือเขาฝากเงินมาคืนคุณ"

กมลทัตตะลึงมองเช็คใบนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง แถมยังพลิกดูลายมือโรมที่เซ็นสลักหลังใบเช็คนั่นอีก เงยหน้าขึ้นมองพิศเพลิน "นี่เธอไปกราบเท้าขอเงินมันเอามาคืนฉันงั้นเหรอ?"

"ฉันไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก เพราะโรมเขาไม่คิดจะรับเงินสกปรกของคุณอยู่แล้ว" จบคำพูดพิศเพลินกมลทัตจอมพาลก็ยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เงื้อมือหราจะตบพิศเพลิน พอดีกุลชาติเดินอย่างรีบร้อนเข้ามาในห้องจึงทันยกมือกันมือกมลทัตที่จะกระทบแก้มพิศเพลิน เสียงกุลชาติดีใจสุดๆเมื่อบอกทั้งพ่อและแม่ว่า

"กิ๊ฟมีไฟฟ์ ป๋า เห็นมั้ยนภามันสารภาพแล้วว่ามอมยาชาติล่วงละเมิดทางเพศ เฮอะ...ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ใช่ไหมครับแม่..."    พิศเพลินสะบัดหน้าเดินหนีทั้งพ่อทั้งลูกออกไปจากห้อง ส่วนกมลทัตตวาดว่า

"ไปไกลๆไป๊...ไปให้พ้นหน้าฉันทั้งแม่ทั้งลูกเลย..."

กุลชาติงงที่ไม่เห็นพ่อกับแม่ดีใจ พอถูกพ่อไล่จึงวิ่งตามแม่ออกไป เห็นพิศเพลินกำลังขึ้นบันไดไปชั้นสอง กุลชาติ วิ่งตามขึ้นไป จับมือแม่ถามว่า "ป๋าเขาเป็นอะไรของเขาแม่ หรือว่าเสียใจที่กิ๊กเก่าตาย แต่อย่างน้อยแม่ก็เห็นแล้วว่าชาติไม่ได้เป็นคนเลวอย่างที่ถูกกล่าวหา"

พิศเพลินถอนใจ กล่าวกับลูกว่า "กุลชาติเมื่อไหร่จะสำนึกตัวได้สักที นึกว่าแม่ไม่รู้เหรอว่าไปยิงคนเขาถึงในบ้าน ดีนะที่โรมเขากรุณาไม่เอาเรื่องน่ะ"

"ก็คนเลวอย่างมันจะไปกล้าอะไร ไอ้พวกวัวสันหลังหวะก็อย่างนี้แหละแม่" นอกจากไม่สำนึกแล้วกุลชาติยังสำแดงความหยิ่งออกมาอีก

"ฉาด..." พิศเพลินเหลืออดจึงตบหน้าเข้าให้เต็มแรง กุลชาติงง

"แม่ตบชาติ นี่แม่ไปเข้าข้างไอ้โรมมันเหรอ?" พิศเพลินเงื้อมือจะซ้ำอีก กุลชาติเบนหน้าหลบ พิศเพลินจึงได้แต่ คาดโทษว่า

"ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมให้แกไปก่อความเดือดร้อนให้ใครเขาอีก ถ้าจำเป็นจะต้องหักแขนหักขาแกทิ้งฉันก็จะทำ จำเอาไว้กุลชาติ" พิศเพลินเดินขึ้นบันไดไปไม่เหลียวหลัง กุลชาติอึ้งเพราะแม่ไม่เคยทำยังงี้กับเขามาก่อนเลย สีหน้ากุลชาติสลดลง

ส่วนโรมอยู่ที่ห้องนอนที่บ้านกำลังพูดโทรศัพท์อยู่กับหมอเผ่าเรื่องคลิปของนภาว่า "โดนไม้นี้เข้าไปฉันก็แย่เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่านภาจะถอดใจหนีไปเข้าทางไอ้กมลทัต"

หมอเผ่าตอบกลับมาว่า "ตอนแรกเห็นว่าจะขอเงินแก บอกว่าจะหนีไปให้ไกลๆ ฉันก็คิดแล้วว่าไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ พูดไปแล้วก็สงสารว่ะ อโหสิ ว่าแต่แกเถอะโรมจะเอายังไงต่อ เรื่องมันกลับตาลปัตรไปแบบนี้แล้ว"

"ฉันยังมีไพ่ตายอีกใบในมือ คงยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกว่ะเผ่า" โรมยกสร้อยของเทียนในมือขึ้นมาดูนึกไปถึงตอนก่อนกมัยธรจะตายได้ให้เขาเก็บเอาไว้และเล่าเรื่องที่กมัยธรเอาสร้อยที่พ่อให้ไปคล้องคอให้ลูกสาวของกมลทัตที่โรงพยาบาล โรมคิดแล้วจึงตัดสินใจทันที

ooooooo

วันรุ่งขึ้น    มนทิราพาโรมไปที่ร้านขายเพชร มนทิราเดินนำหน้าเข้าร้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม   พลางบอกกับโรมว่าเป็นร้านคนรู้จักกัน ถามโรมว่าจะมาซื้อ อะไรหรือ สร้อยหรือแหวน โรมมองหน้ามนทิราพลางยิ้มให้

"คุณอยากได้อะไรล่ะ"

"นี่โรมมานี่เพื่อจะซื้อให้มนหรือคะ" มนทิราทำหน้าปลื้มซะไม่มี

"ผมอยากให้มนเป็นของขวัญที่สละเวลามาดูแลผมตอนผมเจ็บ แถมยังช่วยงานผมตั้งหลายเรื่อง"

มนทิราเกาะแขนเขาฉะอ้อนว่า "แต่มนไม่ได้ช่วยคุณเพราะหวังสิ่งตอบแทนนะคะ มนเต็มใจ โรมก็น่าจะรู้ว่าเพราะเหตุผลอะไร"

โรมรีบพูดตัดบทเมื่อพาเดินไปที่หน้าตู้เครื่องเพชร บอกเธอว่า "เลือกตามสบายเลยนะ ผมจะไปนั่งรอ" ส่วนมนทิราปากก็ว่าไม่เอาๆ แต่พอไปเห็นเครื่องเพชรเต็มตู้ก็เลยยืนมองชิ้นนั้นชิ้นนี้เพลินไปเลยว่าจะเอาชิ้นไหนดี ชิ้นนั้นสวยแต่ก็ดูจะแพงไปหน่อยกับปากที่เพิ่งบอกโรมไปเมื่อกี้ว่าไม่คิดอะไร จะเอาชิ้นนี้ก็เล็กไปหน่อยใส่แล้วกลัวคนจะไม่เห็นว่าใส่
โรมมองตามเห็นว่ามนทิราไม่สนใจเขาแล้วจึงเดินไปที่มุมขายทอง พนักงานมาต้อนรับถามว่า

"ไม่ทราบว่าอยากได้แบบไหนคะ?"

โรมหันไปเหลือบมองมนทิราเห็นว่ายังเพลินอยู่ไม่เห็นเขาแน่ จึงล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบสายสร้อยออกมาบอกกับคนขายว่า "ผมอยากได้สร้อยเส้นใหม่ที่เข้ากับแหวนวงนี้"

พนักงานหยิบสร้อยออกมาให้โรมเลือก ปากก็พูดอธิบายว่า "สร้อยมีหลายแบบนะคะ หรือไม่อีกทีก็เชิญดูแค็ตตาล็อกดีกว่ามั้งคะ"

โรมรับมาเปิดๆดู ไม่ชอบใจสักลาย เลยบอกพนักงานว่า "คุณเลือกให้ผมก็แล้วกัน ให้เหมาะกับเด็กสาวอายุเกือบๆยี่สิบ"

พนักงานหยิบแค็ตตาล็อกดูแล้วบอกว่า "ถ้าสำหรับสาวรุ่น ก็น่าจะเป็นแบบนี้นะคะ มีเพชรสลับด้วย แต่ไม่มาก"

คำพูดโต้ตอบระหว่างโรมกับพนักงานขาย มนทิราที่กำลังเดินมาหาโรมจะเอาตุ้มหูที่ใส่อยู่ที่หูแล้วมาให้โรมดูได้ยินถนัด รู้ทันทีว่าโรมซื้อให้เทียน จึงออกอาการเซ็งในใบหน้าทันที

ตอนที่โรมอยู่กับมนทิราในร้านขายเพชร เทียนกำลังเดินอยู่ที่สนามหน้าบ้าน เสียงตะโกนเรียกไม่ดังนักทำให้เทียนหันไปดู พอเห็นว่าเป็นชาญยืนเกาะรั้วอยู่เทียนตกใจมาก รีบเดินไปหา

"พี่ชาญ พี่รู้ได้ยังไงว่าเทียนอยู่ที่นี่"

"ทำหน้าตกใจยังก๊ะเห็นผีเชียวนะแก ฮึ คงนึกว่าได้มาเสวยสุขคนเดียวละสิ ฝันไปเถอะ"

"เสวยสุขอะไรของพี่..." เทียนงง

ชาญยื่นหนังสือพิมพ์ที่หนีบมาให้ดู บอกว่า "ที่แท้ ไอ้ผู้ชายคนนั้นก็ซื้อแกมาชุบตัว ย้อมแมวให้เป็นลูกสาวเศรษฐี ถุย ก็ไอ้สิบแปดมงกุฎเหมือนกันละว้า ไหน มันอยู่ที่ไหน ขอคุยด้วยหน่อย ไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้"

เทียนตกใจ "อย่านะพี่ มีอะไรคุยกับฉัน อย่าไปรบกวนนายหัว"

ชาญยื่นไม้ตาย "ข้าจำเป็นต้องใช้เงิน แล้วก็นึกได้ว่านายหัวของเอ็งมันจ่ายค่าตัวเอ็งถูกไปหน่อย"

เทียนมองซ้ายมองขวากลัวมีคนมาเห็น ถามว่า "พี่อยากได้เท่าไหร่?"

"เจ็ดหมื่น" ชาญตอบเสียหนักๆ

"ตั้งเจ็ดหมื่น พี่จะเอาไปทำอะไร" เทียนตกใจ

"ก็เอาไปลงทุนตั้งตัวสิวะ เอ็งสบายคนเดียวมันไม่ยุติธรรมนี่หว่า เร็ว ตามนายหัวเอ็งมา นายหัว นายหัว" ชาญเห็นน้องสาวเงอะงะไม่ทันใจเลยตะโกนเรียกโรม เทียนรีบบอกว่า

"พี่ชาญ พอแล้ว เอาเป็นว่าฉันจะหาเงินให้พี่เอง พี่กลับไปก่อน...ไปซิ มีคนมาแล้ว" เทียนเห็นป้าทิพย์ซึ่งได้ยินเสียงชาญตะโกนกำลังเดินมาเลยรีบบอกชาญ ก่อนไปชาญยังบอกเทียนว่า

"ข้าให้เวลาเอ็งวันนึง พรุ่งนี้เอ็งโทร.หาข้าที่ห้องเช่าว่าจะเอาเงินไปให้ที่ไหน" ชาญส่งกระดาษให้แล้วหลบไป เทียนรีบซ่อนกระดาษ แต่ป้าทิพย์ทันได้เห็นถามว่านั่นใคร เทียนตอบว่า คนมาถามหาญาติเพราะนึกว่าทำงานอยู่ที่นี่ พูดแล้วรีบเดินหนี ป้าทิพย์ยิ่งสงสัย บอกกับตัวเองว่า

"ส่งกระดาษให้กันชัดๆ จะไม่รู้จักกันได้ยังไง?"

เทียนรีบไปที่ห้องนอนตัวเองมือไม้สั่น ค้นหาของที่พอจะขายได้ก็ไม่มี มีแต่เสื้อผ้าก็คงไม่ถึงเจ็ดหมื่น เอากล่องใส่สร้อยมุกที่โรมให้มาดูแต่ก็ตัดสินใจไม่ได้เลยเก็บ เหลือบไปเห็นกระเป๋าที่มนทิราเอามาให้ก่อนหน้านั้นนึกได้เลยคว้ามาดูราคา ตื่นเต้นดีใจสุดๆเพราะมันเจ็ดหมื่นพอดี เลยรีบแต่งตัว เอากระเป๋าห่อไว้ เดินออกจากห้องไปเจอลักษมนถือตำราเดินมา ลักษมนถามว่าจะไปไหน เทียนบอกว่าปวดท้องอยากรบกวนให้ลักษมนพาไปหาหมอ ลักษมนเลยวางตำราเข้ามาประคองเทียนแทน บอกว่าไปเดี๋ยวนี้เลย ป้าทิพย์ออกมาเห็น กะว่าสองคนนั่นขับรถออกจากบ้านไปแล้วจึงรีบขึ้นไปค้นห้องเทียน และก็ไปเจอกระดาษชิ้นเล็กที่เขียนเบอร์โทรศัพท์
และลงชื่อชาญเอาไว้ แกลอกชื่อและเบอร์แล้วเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ที่เก่า ลงไปข้างล่างคอยมนทิรากลับมา

ส่วนเทียนพอลักษมนพาออกจากบ้านไปพักเดียวก็บอกว่าหายปวดท้องแล้ว แต่ให้ลักษมนพาไปห้าง ซึ่งก็คือห้างที่เจนเพื่อนมนทิราขายกระเป๋านั่นเอง พอเข้าไปในห้างเทียนก็ขอไปเข้าห้องน้ำปล่อยให้ลักษมนนั่งคอย เธอแวบไปหาร้านกระเป๋า เจอเจนอยู่ที่นั่นพอดี ไปไหว้เจนขอขายกระเป๋าคืนบอกว่าเธอเอาไว้ก็ไม่ได้ใช้ เจนรู้สึกแปลกๆแต่ก็รับซื้อเอาไว้ในราคาเจ็ดหมื่นเท่ากับตอนที่มนทิราซื้อเอาไป

ooooooo

มนทิรากลับมากับโรมด้วยอารมณ์บูดเพราะความริษยาเทียน ลงจากรถเดินเข้าบ้านหน้าบึ้ง พอดีได้รับโทรศัพท์จากเจน มนทิรากดรับแล้วกรอกเสียงลงไปว่า "ถ้าไม่ขำอย่างที่พูดละก็มีด่าเลยนะ ตอนนี้ยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่...ฮะ...อะไรนะ ยัยเด็กเทียนเอากระเป๋าไปขายคืนเหรอ"

"ฮื่อ...แถมยังบอกด้วยนะว่าต้องการใช้เงิน แล้วขอร้องว่าอย่าบอกเธอ"

มนทิราตื่นเต้น "ขอบใจมากๆ เธอทำให้ฉันอารมณ์ดีนิดหนึ่ง..." กดตัดสาย พอดีป้าทิพย์วิ่งมาฉุดไม้ฉุดมือเล่าเรื่องให้ฟัง

"ไม่รู้ว่าเป็นพวกวินมอเตอร์ไซค์หรือเปล่า หรือว่าพวกติดยาในซอย มีแลกเบอร์กันด้วย ยังงี้มันชักศึกเข้าบ้านแท้ๆ ป้าว่า เราต้องบอกคุณโรมนะคะ"

"อย่าเพิ่งค่ะป้า เรายังไม่แน่ใจ เดี๋ยวจะกลายเป็นใส่ร้ายเด็ก...แล้วไหนเบอร์โทรศัพท์ที่ว่าล่ะคะ" ป้าทิพย์รีบยื่นให้ทันที

ลักษมนพาเทียนกลับมาบ้าน มนทิราที่คอยทีอยู่รีบเดินเข้ามาหา ทักทายสองสามคำแล้วแย่งเป้ที่เทียนถืออยู่ เทียนซ่อนเงินเจ็ดหมื่นไว้ในเป้จึงยื้อแย่งไม่ยอมให้มนทิราดูเป้ "อย่าค่ะๆ" เทียนร้อง

มนทิราหัวเราะ "อุ๊ย หวงเหรอคะ แหม ขอโทษที สงสัยในเป้จะมีของสำคัญ"

เทียนเหงื่อแตก ขอขึ้นบ้าน เธอหันกลับจะวิ่งก็ชนโรมยืนอยู่ โรมถามว่าไปไหนมา เทียนอึกอัก ลักษมนออกมาพอดีเลยอธิบายให้ฟังว่าเทียนปวดท้องเขาเลยพาไปหาหมอ โรมถามว่าเป็นอะไร ลักษมนตอบแทนอีก

"เครียดลงกระเพาะน่ะครับ พี่ก็รู้ เทียนเจอแต่เรื่องหนักๆตลอด"

โรมพยักหน้า มนทิราเบ้ปากใส่ ส่วนเทียนพอมาถึงห้องนอนรีบเปิดตู้เอาเงินซ่อนไว้อย่างมิดชิด มนทิราแยกไปที่ห้องตัวเอง เอาเบอร์ชาญออกมาดูแล้วกดมือถือถึง พอทางโน้นรับสายก็แกล้งดัดเสียงพูดตอบว่านี่เทียนพูด ชาญได้ฟังดีใจรีบถามมาว่า

"อ้าว แกเองเหรอ ว่าไง ได้เงินแล้วใช่ไหม"

"ค่ะ ค่ะ ได้แล้ว"

"ดีมาก มันต้องอย่างนี้ซิวะถึงจะรักกันจริง งั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปรอที่..." พูดไม่จบถูกมนทิราตัดสายเลย มนทิราด่าเทียนว่า "นังกาฝาก แกนี่มันร้ายจริงๆ"

ส่วนเทียนก็พยายามโทร.ถึงชาญ แต่สายไม่ว่างเพราะชาญกำลังคุยอยู่กับมนทิราที่ปลอมเสียงเป็นเทียน พอสายว่างชาญกดรับก็ได้ยินเสียงเทียนพูดมาว่า "ตกลงว่าฉันได้เงินแล้ว พี่รอฉันพรุ่งนี้ที่สวนในหมู่บ้านนะ"

โรมสั่งให้ป้าทิพย์ต้มข้าวต้มแล้วเขาก็เอาไปให้เทียนที่ห้อง เทียนเลยบอกโรมว่า เช้าๆเธอขอไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนในหมู่บ้าน ไม่งั้นอยู่แต่ในห้องแอร์รู้สึกว่าไม่ค่อยแข็งแรง โรมอนุญาตและบอกว่าถ้าเขาว่างจะไปวิ่งด้วย ป้าทิพย์โผล่เข้ามาบอกโรมว่ามนทิรามีธุระด่วนขอพูดด้วย โรมจึงรีบออกไป มนทิรานัดพบกับโรมในตอนกลางคืน เล่าเรื่องให้ฟัง แถมบอกว่า

"ตอนแรกเพื่อนโทร.มาบอก มนก็ไม่อยากเชื่อ แต่ถ้าไม่จริงกระเป๋าใบนั้นไปอยู่ในมือเพื่อนมนได้ยังไง"

"แต่เทียนไปกับนายลักษมน"

"เทียนไปที่ร้านคนเดียว มนคิดว่าคุณลักคงไม่รู้เรื่องเพราะถ้าเทียนจะเอาเงินไปให้ผู้ชายคนอื่นคุณลักต้องห้ามแน่ๆ"

"ยังไงผมก็ไม่เชื่อว่าเทียนจะทำแบบนั้น" โรมหน้าเครียด

"ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตาสิคะ" มนทิรากระเหี้ยน กระหือรือเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็ถึงกับขับรถมารับโรมถึงบ้าน เรียกโรมให้ขึ้นรถ บอกว่าเธอเป็นห่วงเทียน ว่าเข้าไปนั่น และเร่งโรมให้ไปที่สวนในหมู่บ้านทันที

ชาญกำลังกระสับกระส่ายรอเทียนอยู่ เมื่อเทียนวิ่งไปถึง รีบเข้ามาหาทันที "แหม ไอ้น้องรัก ตรงเวลาดีจริง..." ยื่นมือมาจะคว้าเงิน แต่เทียนเอาไปซ่อนไว้ด้านหลัง

"พี่ต้องสาบานกับฉันว่า ได้เงินไปแล้วจะไม่มากวน นายหัวอีก" เทียนคาดคั้น

"เออน่า เซ้าซี้จริงเว้ย" ชาญฮึดฮัดเมื่อเทียนไม่ยอมยื่นเงินให้ เมื่อเห็นว่าเทียนไม่ยื่นเงินให้จริงก็ร้องออกมาว่า "เออ สาบานก็สาบาน" เทียนควักเงินให้ ชาญรับไปนับมือไม้สั่น โรมโมโหเพราะแอบดูอยู่กับมนทิรา เขารีบเดินออกไป มนทิรา ร้องเตือนเบาๆว่า "โรม ใจเย็นๆนะ" เธอเตือนด้วยสีหน้าสะใจสุดๆ

โรมเข้าไปทางด้านหลัง กระชากชาญให้หันมาแล้วต่อยเปรี้ยงเข้าให้ ชาญกระเด็นลงไปนอน เงินหลุดจากมือ เทียนตกใจร้องห้ามโรม โรมหันมาว่าให้ "ฉันไม่นึกว่าเธอจะทำตัวแย่อย่างงี้ ทำไมต้องเอาเงินมาให้มัน มันเป็นใคร?"

"ทำไมต้องรุนแรงด้วยวะ" ชาญบ่นเมื่อกระย่องกระแย่งลุกขึ้นได้ โรมพอเห็นหน้าชาญก็อึ้งไป มนทิรารีบวิ่งมาร่วมวงทันที

"หน็อย ยังจะมาพูด ฉันไม่แจ้งตำรวจจับแกฐานล่อลวงก็บุญแล้ว บอกมาว่าแกเป็นอะไรกับน้องเทียน มีอะไรกันไปถึงไหนแล้ว"

ชาญหันไปตะคอกใส่ "ฉันก็เป็นพี่ชายมันน่ะซี มีบุญคุณกับมันมาก ถามมันดูซี"

"พี่ชาย..." มนทิราตาค้าง

"คุณกลับบ้านไปก่อน...เทียน ชาญ ไปกับฉัน" โรมบอกมนทิราแล้วกระชากคอชาญไปโดยมีเทียนเดินตาม

ooooooo

มนทิราต้องนั่งมอเตอร์ไซค์วินเข้าไปที่บ้านโรมด้วยความงงและผิดหวังนิดๆที่จะไปจับผู้ชายที่มาขอเงินเทียนแต่กลับกลายเป็นพี่ชายของเทียนไปเสียฉิบ แถมยังรู้จักกับโรมเสียด้วย พอจ่ายค่ามอเตอร์ไซค์เสร็จมนทิราเดินเข้าบ้านอย่างไก่หงอยเลย

ป้าทิพย์ที่นั่งคอยผลงานของมนทิราอยู่เหมือนกันรีบวิ่งเข้ามาถาม "ว่าไงคะ จับได้คาหนังคาเขามั้ย ตกลงมันเป็นแฟนเทียนใช่มั้ยหนูมน"

"แฟนเฟินอะไรกันคะ มันเป็นพี่ชายของเทียนต่างหาก รู้จักกับโรมด้วย...แล้วดูซิ อยู่ๆก็ไล่ให้มนกลับบ้านมาก่อน แล้วก็ไปไหนกันก็ไม่รู้ทั้งสามคน"

ป้าทิพย์กลับคิดไปอีกอย่าง ร้องออกมาว่า "นี่มันเอาพี่ชายตามมาอยู่ด้วยเหรอเนี่ย อีกหน่อยคงขนญาติโยมมาจากไหนอีกไม่รู้ คงคิดจะมาเกาะคุณโรมกันน่ะซิ หมด...หมดตัวแน่คุณโรมเอ๊ย..."

"ไม่รู้ละ ป้าทิพย์ต้องบอกความจริงทุกอย่างให้หนูรู้ได้แล้ว เด็กเทียนเป็นใครมาจากไหน ไม่ต้องมาปกปิดอะไรหนูอีกแล้ว..." มนทิราเขย่าแขนป้าทิพย์ แต่ป้าทิพย์ไม่รู้จะบอกอะไรได้

โรมพาชาญกับเทียนไปที่มุมเปลี่ยวในสวน พอปลอดคนเขาก็กระชากคอเสื้อชาญมาและเหวี่ยงชาญเข้าพุ่มไม้ ชักปืนออกจากเอวชี้หน้าชาญ "แกได้เงินฉันไปแล้วยังมาไถเงินเทียนทำไมอีก" ชาญไม่ตอบ โรมง้างไกปืน คราวนี้ชาญกลัวจนหัวหดปิดหัวปิดหูยุ่งไปหมด เทียนวิ่งถลาเข้ามาขวางทางปืนทันที

"อย่าค่ะนายหัว เทียนขอร้อง อย่าทำอะไรพี่ชาญเลยนะคะ พี่ชาญคงลำบากจริงๆถึงได้มาหาเทียน"

ชาญเกาะน้องอยู่ข้างหลัง ค่อยๆโผล่หน้าออกมาดูโรม เห็นเขาลดปืนลงจากมือชาญเลยยกมือไหว้

"จริงๆครับนายหัว ผมตกระกำลำบากจริงๆ พอไอ้เทียนมากับนายหัวผมก็ถูกพวกไอ้เสี่ยมันไล่ล่า ทำมาหากินไม่ได้ ต้องย้ายบ้านหนี พยายามหางานทำก็ไม่มีใครจ้าง แค่คิดมาพึ่งใบบุญนายหัวกับไอ้เทียนนี่แหละครับ"

โรมเดินไปมาพลางครุ่นคิด แล้วก็ตัดสินใจ หันมาพูดกับชาญว่า "ก็ได้ ฉันจะรับแกเข้าทำงานเอง"

ชาญทำท่าดีใจ จับมือเทียนเขย่า "เห็นมั้ย ฉันคิดไม่ผิดจริงๆว่าฉันต้องพึ่งแกได้ ในที่สุดเราพี่น้องก็ได้มาอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวฉันไปรับอีอ้อที่ห้องเช่าหนูเน่าก่อน มันต้องดีใจแน่ๆที่จะได้ทำงานอยู่คฤหาสน์ใหญ่โตกับแกกับนายหัว" ชาญเก็บเงินเข้ากระเป๋าลุกลี้ลุกลนจะผละไป แต่โรมร้องบอกว่า "อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้ให้แกทำงานที่นี่" โรมพูดจบก็ควักมือถือมากดสาย พอทางโน้นรับเขาก็กรอกเสียงลงไปว่า

"ครับ ผมเอง...ผมจะส่งคนงานลงไป ให้คุณช่วยดูแลด้วย ชื่อนายชาญกับเมียเขา...ครับ...ให้ตัดปาล์มไปก่อนนะ ครับๆ ขอบใจมาก" พยักหน้ากับชาญบอกว่าไปได้ ชาญเดินคอตก แต่ยังกระหยิ่มว่าในกระเป๋ามีเงินที่ได้จากเทียนมาด้วยตั้งเจ็ดหมื่นบาท เขาคิดตั้งแต่ตอนที่โรมบอกไปทางโน้นว่าจะให้เขาไปอยู่สวนปาล์มไปตัดปาล์มอยู่ที่นั้น ชาญบอกตัวเองว่าไม่เอาเด็ดขาด งานหนักขนาดนั้นคนอย่างเขาไม่สู้อยู่แล้ว

โรมมองท่าทางของชาญที่เดินจากไปพลางส่ายหน้าอย่างระอา แล้วก็ชวนเทียนกลับบ้าน พอลงจากรถเทียนก็เข้ามากราบขอโทษที่ทำให้โรมยุ่งยาก โรมบอกกับเธอว่า

"ฉันจะแก้ปัญหาได้ง่ายกว่านี้ ถ้าเธอบอกความจริงกับฉันก่อน ไม่แอบไปทำอะไรลับหลังฉันอย่างนี้"

"ก็...เทียนไม่อยากให้พี่ชายมาวอแวกับนายหัวนี่คะ" เทียนเสียงอ่อย โรมถอนใจ

"แล้วเป็นยังไงล่ะ รู้มั้ยว่าเรื่องราวมันบานปลายไปถึงไหนแล้ว เมื่อคนอื่นรู้เรื่องเธอ"

สองคนยังคุยกันไม่จบ มนทิราแจ๋ออกมารับหน้าทำท่าเป“นห่วงเทียน "เป็นยังไงคะ เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย เทียนนะเทียน พี่ชายมาเยี่ยมทั้งทีก็ไม่บอกกันตรงๆตกใจหมดเลยนะเนี่ย" เข้ามาหยิกแกมหยอกแขนเทียน โรมมองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เทียนเดินเข้าบ้านไปแล้วโรมจึงชวนมนทิราเดินเล่นกันไปที่สวน มนทิรานึกว่าโรมเกิดพิศวาสอะไรกับตัวขึ้นมาเลยดีใจเดินตามไปติดๆ โรมพามนทิรามานั่งเก้าอี้

"นั่งสิมน ผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย"

"เรื่องอะไรเหรอคะโรม" เสียงหวานใส่ทีเดียว

"เรื่องของนายชาญ พี่ชายของเทียน" โรมพูดเรียบๆ

"อ๋อ...นึกว่าเรื่องอะไร แล้วนายชาญพี่ชายเทียนนี่มาจากเมืองนอกเหมือนเทียนหรือเปล่าคะ แต่มนดูๆแล้วเห็นจะไม่ใช่ น่าจะมาจากบ้านนอกมากกว่า เอ๊ะ...หรือว่ามนคิดมากไปเอง ชาญอาจจะมาจากรัฐ..."

"พอแล้วมน..." โรมเบรกเมื่อเห็นจริตจะก้านของมนทิราทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องเทียน เขาพูดต่อไปว่า "ผมจะไม่พูดอะไรมาก ผมขออย่างเดียวคุณอย่าไปเล่าเรื่องนายชาญให้ใครฟังได้มั้ย ผมขอร้อง..."

"แล้วเรื่องเทียนด้วยหรือเปล่าคะ มนสงสัยมานานแล้วว่าเทียนนี่ก็คงไม่ใช่ญาติผู้พี่ผู้น้องอะไรกับคุณหรอกไอ้เรื่องมาจากเมืองนอกเมืองนาด้วยแล้วยิ่งไม่ใช่ใหญ่ เรื่องจริงมันเป็นยังไงแน่คะโรม"

โรมอ้ำอึ้งอย่างตัดสินใจ ในที่สุดก็พูดว่า "เอาเป็นว่าผมมีเหตุผลสำคัญที่ต้องทำเช่นนี้..." โรมจับมือมนทิรามาบีบอย่างเอาใจ "ถ้าเห็นแก่ความเป็นเพื่อน ความรู้สึกดีๆที่มีให้กับคุณ อย่าไปพูดเรื่องพวกนี้ให้ใครฟังได้มั้ยมน"

"มนก็หวังว่าที่เอาเทียนมาอุปการะคงไม่ใช่เพราะโรมรักเทียนหรอกนะคะ" มนทิราถามเสียงหนักๆ

โรมชะงักไปนิดหนึ่ง "ไม่ใช่หรอก มันไม่มีทางเป็นอย่างนั้น"

มนทิรายิ้มกว้าง พลิกมือตัวเองเป็นคนกุมมือโรมไว้ "งั้นก็วางใจเถอะค่ะ มนทำได้ทุกอย่าง เพื่อโรมอยู่แล้ว" โรมพยายามฝืนยิ้มให้มนทิรา แต่ใจรู้สึกสบายขึ้นนิดหน่อย

ooooooo

พิศเพลินพากุลชาติไปฝากกับเจ้าอาวาสวัดที่เธอไปทำบุญบ่อยๆบอกหลวงพ่อว่า "ต้องรบกวนบารมีหลวงพ่อ ช่วยอบรมสั่งสอนกุลชาติลูกของโยมด้วยเจ้าค่ะ โยมไม่ทราบว่าจะทำยังไงดีแล้ว"

หลวงพ่อมองกุลชาติอย่างพินิจพิเคราะห์ ดูหน้าตาท่าทางลอกแลกก็เห็นไปถึงข้างใน แต่เมื่อเอามาฝากท่านก็ต้องรับไว้ บอกว่า "ไม่เป็นไรคุณโยม ทุกคนมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอยู่แล้ว...เออ ชื่อของเขาก็ดีนะมีความหมายเป็นมงคลนาม...กุลชาติ"

"ตัวจริงก็เป็นคนดีครับหลวงพ่อ ไม่รู้แม่จะพามาทำไม เสียเวลาหลวงพ่อเปล่าๆ" กุลชาติพูดสอดขึ้น

หลวงพ่อชักได้กลิ่นแหม่งๆจากลมปากกุลชาติ   แต่พิศเพลินชิงพูดกับลูกชายว่า "อยู่ที่นี่ต้องถือศีลแปด ตั้งใจท่องบทสวดมนต์แล้วก็คำขอบวชให้ได้"

"บวช..." กุลชาติร้องออกมาอย่างตกใจ

"ใช่...แม่อยากให้ลูกบวชเพื่อขัดเกลาจิตใจตัวเอง จะบวชได้กี่วันก็ไม่เป็นไร แล้วแต่บุญบารมีของลูกเอง" พิศเพลินพูดไม่ทันจบ กุลชาติก็ตะเบ็งเสียงออกมา

"มั่วแล้วแม่ ชาติอายุยังไม่ถึง นี่หลอกกันนี่หว่า ไหนแม่บอกว่าจะพามากราบพระเฉยๆไง"

"เอาล่ะๆ ไม่บังคับกัน เอาแค่นุ่งขาวห่มขาวหัดนั่งกรรมฐานด้วยกันก็พอ" หลวงพ่อไกล่เกลี่ย

"ไม่เอา นั่งที่บ้านก็ได้ นั่งกับแม่ที่ห้องพระก็ได้ กลับบ้านเถอะแม่" กุลชาติลุกขึ้นยืน

"ถ้าลูกไม่อยู่ศึกษาธรรมกับหลวงพ่อที่นี่ ก็ไม่ต้องมาเรียกแม่ว่าแม่อีกต่อไป" พิศเพลินยื่นคำขาด ยังผลให้กุลชาติจ๋อยลงไปทันตา พิศเพลินอยู่ดูจนลูกชายยอมเปลี่ยนเสื้อผ้านุ่งขาวห่มขาวแล้วก็จะกลับบ้าน แต่กุลชาติทำอ้อนเหมือนเด็กๆบ่นว่าชุดขาวนี่เชยไปบ้าง ยังงั้นยังงี้ตามแต่จะหาเรื่องมาบ่น หลวงพ่อต้องกล่อมอีกว่า

"ชุดสีขาวเป็นอุบายให้ผู้สวมใส่รู้สึกถึงความสะอาดผ่องใสบริสุทธิ์ จิตใจจะได้พร้อมที่จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ"

พิศเพลินสำทับอีกว่า "ตั้งใจศึกษาธรรมะปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อให้ดีแล้วแม่จะมารับกลับบ้าน"

พิศเพลินกลับไปแล้ว หลวงพ่อส่งหนังสือสวดมนต์เจ็ดตำนานให้กุลชาติเล่มหนึ่ง บอกให้ติดตัวเอาไว้ บอกกุลชาติว่า การท่องหนังสือคือการเจริญสติอย่างหนึ่งเหมือนกัน กุลชาติรับมาแบบว่าก็งั้นๆไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่  แต่กลับไปซักเรื่องสัพเพเหระอะไรจากหลวงพ่อเป็นคุ้งเป็นแคว หลวงพ่อยิ่งจับได้ว่าคนนี้เหลือขอทีเดียว

ที่ห้องทำงานของกมลทัต เขานั่งเอนอิงพิงเบาะอย่างสบายอารมณ์ พูดชมเมียตัวเองว่า "พิศเพลินนี่เก่งจริงๆกล่อมเจ้ากุลชาติให้ไปถือศีลกินเพลได้ ใครถามจะได้บอกได้ว่ามันกลับเนื้อกลับตัวหันไปสนใจธรรมะธัมโมแล้ว" "อยู่วัดก็ดีครับ จะได้ไม่มาก่อเรื่องราวอะไรอีก" ภาสกรเออออ

"แต่ตอนนี้ฉันคันไม้คันมือ อยากจะแก้เผ็ดไอ้โรมมันอย่างเดียวเลย เอาไงดีวะภาสกร?"

ภาสกรสะดุ้ง รีบเบรกว่า "ช่วงนี้ยังไม่เหมาะครับท่าน คดีนภายังไม่นิ่ง  ไม่รู้ตำรวจจะเกาะติดแค่ไหน  ไอ้โรมเองมันก็เสียชื่อไปไม่น้อย เรารอโอกาสอีกสักหน่อยดีกว่า...และอีกอย่าง อีกไม่กี่เดือนกุลชาติก็จะบรรลุนิติภาวะแล้ว ซึ่งจะมีผลตามพินัยกรรมทุกอย่าง เราควรเตรียมแผนรองรับให้รอบคอบดีกว่านะครับ" พูดถึงเรื่องนี้ กมลทัตพยักหน้าเห็นด้วยทันที

ooooooo

ในครัวบ้านโรมวันรุ่งขึ้น เทียนเดินอย่างร่าเริงเข้าไปหาป้าทิพย์คิดว่าจะไปช่วยทำกับข้าว แต่ไปเจอมนทิรากำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเช้าซึ่งเป็นแบบฝรั่ง มนทิราแกล้งเรียกให้เทียนไปช่วยทำ  บอกว่านี่เป็นอาหารเช้าของโปรดของโรมเลย เทียนงงทำไม่ถูก ป้าทิพย์ มองอย่างเหยียดหยาม

"งงละสิ   ไม่ใช่ไข่เจียวหมูสับอย่างที่เธอคิดหรอก 

ที่เห็นนี่หนูมนกำลังจะทำออมเล็ตสูตรพิเศษอยู่จ้ะ"

"ออมเล็ต..." เทียนพึมพำชื่ออาหาร มนเลยบอกว่า

"ไม่เคยรู้จักล่ะซิ ตอนอยู่ประจวบไม่เคยกินซีนะ... ไม่ต้องอึ้งเลย ฉันน่ะรู้แล้วละว่าจริงๆเธอมาจากไหน เพราะฉะนั้นอยู่กับฉันไม่ต้องทำตัวหรูเป็นนักเรียนนอก ไม่ต้องเสียเวลาอีกหรอก ฉันเข้าใจว่าเธออึดอัด"

"แต่ถ้าอยากมาช่วยเพื่อประจบคุณโรมละก็ แค่เช็ดจานเช็ดช้อนส้อมก็พอมั้ง" ป้าทิพย์กระหน่ำอีก ทำให้เทียนอึ้งรีบออกไปจากครัว

พอถึงเวลาอาหารโรมก็เข้าไปที่ห้องอาหาร พอเห็นของกินที่จัดเตรียมเอาไว้โรมก็ยิ้มอย่างถูกใจ "น่ากินจริงๆวันนี้ป้าทิพย์นึกยังไงทำเบรกฟาสต์ครบสูตรเลย"

ลักษมนเองก็รู้สึกแปลกใจ "นั่นน่ะซิครับ ธรรมดาป้าทิพย์ไม่ถนัดอาหารฝรั่งนี่"

"ใครว่าล่ะคะ ป้าทำไม่ได้หรอก นี่แม่ครัวตัวจริงอยู่นี่ มาขลุกอยู่ในครัวตั้งแต่เช้าแล้ว" ป้าทิพย์เดินเข้ามาพร้อมเหยือกน้ำส้มคั้น มนทิราเดินตามมาข้างหลังพร้อมสลัด โรมอึ้งพูดออกมาว่าทำไมต้องลำบากด้วย มนทิราตอบว่า

"มนอยากทำค่ะ อยู่คนเดียวกินคนเดียวไม่อร่อย ถือว่ารับขวัญคนป่วยไงคะ กินเยอะๆนะคะจะได้หายเร็วๆ" พูดไปจัดของไปวางตรงหน้าโรม โรมรับของพลางถามถึงเทียนว่าไปไหนทำไมยังไม่ลงมาอีก สาวใช้ตอบว่าลงมาแล้วแต่บอกว่ายังไม่หิว ลักษมนเลยพูดว่า

"สงสัยไม่ถูกกับอาหารฝรั่งเหมือนผม เรามันพวกบ้านๆเหมือนกัน ขอกาแฟถ้วยเดียวดีกว่า" พูดจบก็คว้าถ้วยกาแฟตรงหน้าตัวเองเดินออกไป  โรมนิ่วหน้ามองตามหลัง  มนทิรารีบพูดแบบเอาใจโรมว่า

"คุณลักพูดจาไม่ระวังเลย บอกว่าเทียนเป็นพวกบ้านๆได้ยังไง ใครได้ยินเข้าจะคิดไปกันใหญ่ โรมต้องเตือนบ้างนะคะ" โรมรีบตัดบทว่าให้ลงมือกันดีกว่าเขาหิวแล้ว

ส่วนลักษมนออกไปหาเทียน พบว่านั่งอยู่ตรงระเบียง บนโต๊ะมีหนังสือพิมพ์หลายฉบับวางอยู่ รวมทั้งมีโทรศัพท์ของโรมวางทับเอาไว้ ลักษมนเดินไปนั่งลงข้างๆแล้วแกล้งถอนใจ "เฮ้อ...เวรกรรมจริงๆ สงสัยยัยมนจะกลับมายึดตำแหน่งพี่สะใภ้คืนซะแล้ว ทำใจรับไม่ได้จริงๆนะเทียนผู้หญิงแบบนี้"

"คุณมนเขาก็ดูน่ารักและก็รักนายหัวดีนี่คะ" เทียนตอบเบาๆ

ลักษมนวางแก้วกาแฟ ยกมือจับมือเทียนแล้วถามว่า "แล้วเทียนล่ะ ไม่รักไม่เสียดายพี่โรมเหรอ"

เทียนไม่ตอบ แต่รีบชักมือตัวเองออก แต่ลักษมนพยายามจะยึดเอาไว้ มนทิราเดินออกมาพอดีเห็นเข้าก็ทำหน้ายิ้มๆบอกว่านึกว่าหายไปไหนกัน เธอทำฟรุตสลัดเป็นของหวาน จึงมาชวนไปกินด้วยกัน แต่สองคนปฏิเสธ พอดีมือถือของโรมมีสายเข้า ลักษมนหยิบมารับแทนแล้วบอกว่าให้รอสักครู่ จะเอาไปให้พี่โรมรับสาย พอขยับตัว มนทิราก็คว้ามือถือของโรมจากมือลักษมนไป บอกว่าจะเอาไปให้โรมเอง ระหว่างทางเดินมนทิราพูดกับ
คนที่โทร.เข้ามาหาโรม

"ฮัลโหล จากไหนคะ...อ๋อ...สร้อยเสร็จแล้วเหรอคะ ตอนนี้คุณโรมติดธุระอยู่ เดี๋ยวดิฉันจะบอกให้...สวัสดีค่ะ" พูด เสร็จก็กดวางสาย แถมกดลบสายเลขเข้าเมื่อกี้ซะด้วย โรมเดิน ออกมาหาโทรศัพท์  พอดีจำไม่ได้ว่าไปวางไว้ที่ไหน มนทิรายื่น ให้บอกว่า "มนบังเอิญไปเจออยู่ที่โต๊ะนั่งเล่นตรงระเบียงน่ะค่ะ"

โรมขอบใจทำท่าจะเดินไปที่นั่น แต่มนทิราดึงเอาไว้ ทำปากจุ๊ๆบอกว่า "ระวังจะเข้าไปผิดจังหวะนะคะ มนเห็นลักกับเทียนนั่งกุมมือกุมไม้คุยกันกระจุ๋งกระจิ๋งอยู่ที่ระเบียง นั่นแหละค่ะ คงไม่อยากกินอะไรแล้วมั้ง" พูดจบก็จูงมือโรมให้เดินไปอีกทางหนึ่ง

วางระเบิดทางอารมณ์ให้โรมแล้วมนทิราก็รีบไปที่ร้านเพชรทันที ไปขอเป็นตัวแทนบอกว่าโรมให้มารับสร้อย คนขายจำได้ว่ามนทิรากับโรมเมื่อวันก่อนจึงยอมมอบของให้ไป มนทิราเปิดกล่องดู หยิบสร้อยออกมาดูเห็นเป็นเพชรเม็ดเล็กๆไข่ปลาสลับกับสร้อย ร้อยไว้ด้วยแหวนหนึ่งวง เธอผิดหวังเพราะนึกว่าจะราคาแพงมากถามออกมาว่า

"นี่เหรอคะที่โรมสั่งทำ ไม่ได้หยิบผิดมานะคะ?"

"คุณโรมเลือกแบบเองค่ะ บอกว่าขอทำแต่สร้อย ส่วนแหวนให้ขัดให้สวยเฉยๆ เงินคุณโรมจ่ายหมดแล้วค่ะ"

มนทิราเก็บสร้อยเข้ากล่องทำหน้างงๆเพราะไม่รู้ความสำคัญของแหวนวงนั้น

ขับรถกลับกำลังจะถึงบ้าน เห็นชาญมาด้อมๆมองๆอยู่ข้างรั้ว มนทิราสงสัยเลยลงจากรถไปถาม อ้างว่าตัวเองเป็นแฟนกับโรม มีอะไรก็บอกเธอได้ ชาญบอกว่า "ก็นายหัวโรมแฟนเจ๊จะให้ฉันไปตัดปาล์มที่ชุมพร แต่ให้ค่ารถมานิดเดียว พอจ่ายค่าเช่าบ้านที่ค้างมันก็หมดแล้ว"

"แล้วแกต้องการอีกเท่าไหร่?"

"สองหมื่น จะเอาไปตั้งตัว รับรองคราวนี้ไปแล้วไม่กลับมาให้เห็นหน้าอีกเด็ดขาด" เห็นมนทิราอิดเอื้อนแบบว่าขอมากเกินไป ชาญเลยรีบพูดว่า "แหมเจ๊ก็ เงินแค่นี้ฉันรู้ว่าแฟนเจ๊ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก ไหนๆจะเอาไอ้เทียนไปชุบตัวขายทั้งที..."

มนทิราตัดสินใจล้วงกล่องแหวนออกมาบอกว่าเธอไม่มีเงินสด มีแต่ของ เปิดกล่องแหวนกับสร้อยออกมา ชาญเห็นเข้าตาลุก คว้าจากมือมนทิราไปดูแล้วร้องออกมา

"นี่แหวนของไอ้เทียนมันนี่ แม่ให้มา มันหวงของมันนักหนา แต่สร้อยนี่ โอ้โฮ...เอาไปปล่อยคงได้หลายตังค์เลย"

"มากกว่าสองหมื่นก็แล้วกัน แกเอาไปเถอะฉันให้แก" มนทิราโยนให้พลางบอกว่า "แล้วฉันก็จะแถมเงินสดให้แกอีกหมื่นนึง แต่แกต้องเล่าเรื่องแกกับน้องให้ฉันฟังอย่างละเอียด"

เสร็จจากการคาดคั้นชาญมาได้ มนทิราเดินยิ้มเข้าบ้าน พอเข้าไปในห้องเห็นโรมกับเทียนกำลังฉุดไม้ฉุดมือกันอยู่ มนทิราคิดแผนขึ้นมาเดี๋ยวนั้นทันที ร้องไห้วิ่งเข้าไปหา โรมกับเทียนตกใจถามว่าร้องไห้ทำไมใครทำ มนทิรารีบขอโทษโรม

"มนขอโทษ มนไปเอาสร้อยให้โรม พอเดินออกจากร้านจะไปที่ลานจอดรถ ผู้ร้ายมันเข้ามาวิ่งราวกระเป๋ามนไป"

"สร้อย...สร้อยอะไร มนค่อยๆพูดสิ"

"สร้อยที่โรมไปสั่งทำไว้ไงคะ มนแวะไปที่ร้าน เขาทำเสร็จแล้วเลยฝากมนมาให้โรม แต่ตอนนี้ถูกโจรมันฉกไปพร้อมกระเป๋าแล้ว ฮือ ฮือ..."

โรมตกใจมาก "คุณหมายความถึงสร้อยร้อยแหวนที่ผมสั่งทำให้เทียนน่ะเหรอ ใครใช้ให้คุณถือวิสาสะไปเอา คุณรู้มั้ยว่า แหวนนั่นมันสำคัญขนาดไหน"

"สร้อยร้อยแหวน แหวนของแม่เทียนน่ะเหรอคะ" เทียนอุทานออกมา

"ใช่...ฉันเอาไปทำสร้อยใหม่ให้เธอ...เราต้องรีบแจ้งความ ไปมน ไปโรงพัก" ฉุดแขนมนทิราซึ่งตอนนี้หยุดสะอื้นเพราะตกใจเหมือนกัน แต่ก็รีบปัดเรื่องให้พ้นตัวว่า

"มนแจ้งแล้วค่ะ ตำรวจบอกว่าจะรีบติดตามให้ โรม มนขอโทษจริงๆ" โรมดึงแขนตัวเองออกเดินหนี มนทิราเลยเข้าไปหาเทียน "เทียน...โรมคงโกรธพี่มาก แต่พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ พี่จะชดใช้ให้เทียนก็ได้ จะสั่งทำให้ใหม่ให้สวยกว่าเดิมเลย"

"ถึงสวยยังไงมันก็ไม่มีความหมายเท่าแหวนวงนั้นหรอกค่ะ แหวนนั้นมันมีวงเดียวเท่านั้น" เทียนเดินหนีไปอีกคนด้วยน้ำตาคลอเต็มตา ทั้งโรมและเทียนต่างเดินไปสงบสติอารมณ์ที่สวนหลังบ้านเลยไปพบกัน เทียนเข้าไปขอร้องโรมว่าอย่าโกรธมนทิราเลย ไหนๆสร้อยกับแหวนมันก็หายไปแล้วช่างมันเถอะ

"ช่างมันได้ยังไง มันเป็นของรักของเธอ แม่เธออุตส่าห์ ให้มาก่อนตาย" โรมพูดอย่างหงุดหงิด

"ถึงแม่จะให้เทียนมา แต่มันก็เป็นของนอกกาย ถึงมันจะหายไปไหน เทียนก็ไม่มีวันลืมแม่อยู่แล้ว"

"มันคือชีวิตของเธอนะเทียน"

"ไม่ใช่ค่ะ นายหัวต่างหากคือชีวิตของเทียน ต่อให้ใครเอาอะไรมาแลกเทียนก็ไม่ยอม"

โรมถอนใจ จับไหล่เทียนดึงเข้ามาหาตัว "เธอไม่เข้าใจหรอกเทียนว่าแหวนวงนั้นมันเป็นหลักฐานที่สำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอ" เทียนเงยหน้ามองโรมอย่างไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเขานัก พอดีมีเสียงโทรศัพท์เข้ามา โรมล้วงกระเป๋ากดรับสาย

"ว่าไง...อะไรกัน นี่ยังไม่ถึงอีกเหรอ โอเค...ขอบคุณมากที่โทร.มาบอก"

"มีอะไรหรือคะ" เทียนถามทันทีที่โรมเก็บโทรศัพท์ และ ต้องตกใจอีกเมื่อโรมบอกว่า

"ชาญไม่ได้ไปชุมพร"

ด้านกุลชาติอยู่วัดไม่กี่วันก็ก่อแต่เรื่อง หลวงพ่อให้ ช่วยคนอื่นกวาดลานวัดเขาก็กินแรงคนอื่น แถมยังควักเงินออกมาว่าจ้างให้คนอื่นกวาดแทน แต่เด็กวัดพวกนั้นก็ไม่ยอมให้จ้างถูกๆ คิดครั้งละหกร้อยบอกว่าต้องแบ่งกันสามคน ต่อรองกันไปกันมากุลชาติก็โมโห อาศัยที่ตัวโตกว่าท้าตีท้าต่อย แถมเอาไม้กวาดไล่ตีพวกนั้นจนวิ่งหนีกันกระเจิง ไอ้ที่กระเจิงนั้นไม่ใช่เพราะกลัวกุลชาติ แต่เห็นหลวงพ่อเดินมาข้างหลังกุลชาติต่างหาก กุลชาติเหวี่ยงไม้กวาดไปให้พ้นๆตัว ปัดมือแบบว่าข้าเก่ง ปรากฏว่ามีคนหยิบไม้กวาดมายื่นให้อีก กุลชาติสะดุ้งเมื่อเห็นคนที่ยื่นให้คนนั้นว่าเป็นหลวงพ่อ รีบบอกว่าเขากวาดเสร็จแล้ว หลวงพ่อตอบเสียงเรียบว่า

"ยังไม่สะอาด กวาดใหม่เถอะกุลชาติ"

"อะไรกันหลวงพ่อ ใบไม้ไม่เหลือสักกะใบจะไม่สะอาดได้ยังไงครับ" เขาตีโพยตีพาย

"ลานวัดมันสะอาดแล้ว แต่จิตใจเธอยังไม่สะอาด เพราะ ฉะนั้นต้องหมั่นกวาด" หลวงพ่อตอบหน้าเฉยก่อนจะเดินขึ้นกุฏิไป

ตกกลางคืนกุลชาติแอบเสพยานอนตาปรือ รู้สึกหิวจึงลงไปที่โรงครัว เจอพวกเด็กวัดกำลังกินข้าวมื้อเย็นกันอยู่ กุลชาติเดินเข้าไปร่วมวงบอกขอกินด้วยคน หัวโจกเด็กวัดที่ไม่ถูกกับกุลชาติตอบว่า "พวกเราเด็กวัดกินได้ แต่คนถือศีลแปดกินไม่ได้ วิกาละโภชนาเวระมณีธรรมะสวัสดี" พูดจบยกกับข้าวหนี กุลชาติจำต้องเดินกลับไปแต่ไปเจอห้องน้ำจึงเข้าไปเก็บเทียนที่อยู่แถวๆนั้นขึ้นมาจุดส่องมองหาเพราะนึกได้ว่าเคยเห็นมีตู้รับบริจาค พบว่าอยู่ตรงประตูเลยอุ้มกล่องขึ้นมาเขย่าดู ได้ยินเสียงเศษสตางค์ดังกราวๆอยู่ในนั้นจึงเทออกมาไปหาซื้อบะหมี่มากิน แต่ถูกเด็กวัดพาหลวงพ่อเข้ามาจับตัวคนขโมยกล่องบริจาค  พบกุลชาติกำลังกินของอย่างตะกละตะกลาม หลวงพ่อได้แต่ส่ายหน้า

ooooooo

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น